วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

รายงานบทที่7

อีเมล์ และโปรโตคอลของอีเมล์
อีเมล์(Email) หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ได้เริ่มใช้งานกันมานานแล้ว ตั้งแต่ยุคของเครื่องของเมนเฟรม หรือมินิคอมพิวเตอร์ ซึ่งไอบีเอ็มได้พัฒนาระบบอีเมล์ที่เรียกว่า PROFS(Professional Office System) ออกมาใช้งาน นอกจากนี้ก็ยังมีระบบ UNIX ต่อมาหลายๆค่ายก็ได้พัฒนาระบบอีเมล์ของตนขึ้นมา โดยส่วนใหญ่จะเป็นองค์ประกอบในแอพพลิเคชั่นที่ทำงานในระบบเครือข่าย เช่น Microsoft Mail ของไมโครซอฟท์ และcc:Mail ของโลตัส เป็นต้นซึ่งต่างก็ใช้เทคโนโลยีของตนเองและเป็นระบบปิด ดังนั้นการส่งอีเมล์ไปยังอีกผู้ใช้ที่ใช้ระบบเมล์คนละค่ายกันจึงเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก
ในยุคต่อมาที่ระบบเครือข่ายทั้ง LAN และ WAN ต่างมีมาตรฐาน และเป็นระบบเปิด (Open System)มากขึ้น ก็ได้ปรับเปลี่ยนการทำงานของอีเมล์มาเป็นระบบไคลเอนต์เซิร์ฟเวอร์ที่เป็นมาตรฐานแบบที่ใช้กันในระบบ UNIX และมีการพัฒนาอีเมล์เซิร์ฟเวอร์ขึ้นมาโดยเฉพาะ เช่น Exchange Server หรือไมโครซอฟท์ หรือ Note Server ของโลตัส เป็นต้น ซึ่งผู้ใช้จะติดต่ออีเมล์เซิร์ฟเวอร์ได้ทั้งโดยผ่านระบบ LAN หรือใช้โมเด็มเข้ามาจาก WANทำให้ผู้ใช้จะไม่เห็นไฟล์ในฮาร์ดดิสก์บนเซิร์ฟเวอร์เลย ดั้งนั้นความปลอดภัยนของระบบจึงมีมากขึ้น จนปัจจุบันได้พัฒนาขึ้นมาเป็นระบบ Workflow ที่ใช้อีเมล์เป็นพื้นฐาน การทำงานของอีเมล์ไคลเอนต์และอีเมล์เซิร์ฟเวอร์มีส่วนประกอบดังนี้
User Agent เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้านผู้ใช้งาน แบ่งเป็น2ส่วนคือ ส่วนของผู้ส่งและส่วนของผู้รับ โดย User Agent นี้จะติดต่อเข้าสู่เซิร์ฟเวอร์ของตนโดยผ่านระบบLANหรือ Dial- upซึ่งในส่วนของ User Agent นี้จะเป็นส่วนที่ผู้ใช้ติดตั้งโปรแกรมไคลเอนต์ของอีเมล์เพื่อเรียกใช้บริการของอีเมล์ เช่น Out look Expressหรือ Eudora เป็นต้น
MTA(mail Transfer Agent) เป็นโปรมแกรมคอมพิวเตอร์ที่จะส่งอีเมล์จากต้นทางไปยังผู้รับปลายทาง ซึ่งจะต้องส่งผ่านเครื่องทีจำนวนมากที่เชื่อมต่อกันในเครือข่าย โดยโปรแกรมเหล่านี้จะช่วยกันส่งอีเมล์เป็นทอดจนไปถึงยังทำเครื่องที่มีaccout หรือเมล์บ็อกซ์ของผู้รับ และหากไม่สามารถส่งเมล์ถึงผู้รับได้ (เพราะใส่ชื่อผิด)ยังทำหน้าที่ส่ง Error mail กลับมาส่งผู้ส่งได้อีกซึ่งเครื่องที่มีMTAทำงานอยู่มักจะมีเมล์บ็อกช์ของผู้ใช้อยู่ด้วย ซึ่งเป็น primary mailbox และเรียกเครื่องนั้นว่าMail Serverโปรโตคอลและประเภทการใช้งาน
การทำงานทั่วๆไปของอีเมล์โดยสรุปมีเพียง2ประเภทคือ การส่งอีเมล์ และการรับอีเมล์ โดยโปรโตคอล SMTPหรือ Simple mail transfer protocol จะใช้ในขณะที่ User Agent ส่งอีเมล์มาที่ MTA(เฉพาะแบบ Offline) และในขณะรับส่งอีเมล์ระหว่าง MTA ด้วยกัน สำหรับการใช้เมล์แบบ Offline คือเครื่องที่ผู้ใช้อ่านเมล์ไม่ได้ต่อกับเครื่องที่มีเมล์บ็อกซ์ตลอดเวลา อาจเลือกดาวน์โหลดเมล์มาเก็บไว้ที่เครื่องของตัวเองนั้น จะต้องมีโปรโตคอลสำหรับอีเมล์ที่เกี่ยวข้องอีก ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายมีอยู่ 2 แบบคือ โปรโตคอล POP หรือ Post Office Protocol และ IMAP หรือ Internet Message Access Protocol ซึ่งจะทำหน้าที่ดาวน์โหลดอีเมล์จากเครื่องของผู้ใช้ไปยังเครื่องที่มี MTA
รูปแบบข้อมูลที่ใช้ในโปรโตคอลต่าง ๆ ของอีเมล์นี้ถูกกำหนดไว้ใน RFC 822 ซึ่งแบ่งส่วนประกอบภายในอีเมล์เป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นจ่าหน้าอีเมล์ และข้อมูลของอีเมล์ ในส่วนของจ่าหน้าอีเมล์นี้มีไว้เป็นข้อมูลเพื่อส่งไปให้ผู้รับ รูปแบบของข้อมูลจะเป็นข้อความหรือเท็กซ์ นำหน้าด้วยคำสำคัญ (keyword) เช่น From หมายถึงชื่อผู้ส่ง ส่วน To หมายถึง ผู้รับ เป็นต้น ซึ่งคล้ายกับการที่ต้องกำหนดเมื่อบันทึกอีเมล์ ถัดจากคำสำคัญก็จะเป็นคำของข้อมูลในชุดนั้นๆ เช่น From ก็จะต่อด้วยซื่อของผู้ส่ง และ Reply To ก็จะต่อด้วยชื่อของผู้รับ เป็นต้น โดยแต่ละบรรทัดจะปิดท้ายด้วย Carriage Return และ/หรือ line feed (ขึ้นอยู่ระบบปฏิบัติการที่ใช้ เช่น Windows จะปิดท้ายด้วย Carriage Return และ Line feed ส่วนระบบปฏิบัติการอื่น เช่น Unix ก็อาจจะใช้เพียง Carriage Return เท่านั้น )เป็นเครื่องหมายของการสิ้นสุดบรรทัด จะเห็นได้ว่าในส่วนของจ่าหน้าอีเมล์นี้มีข้อความที่จำเป็นคือรายละเอียดของผู้ส่งและผู้รับ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เช่น รายชื่อผู้รับสำเนา (CC) จะมีหรือไม่ก็ได้จากองค์ประกอบของโปรโตคอลและวีการส่งอีเมล์ที่กล่าวผ่านมา ทำให้การใช้อีเมล์ในปัจจุบันซึ่งทำงานแบบไคลเอ็นเซิร์ฟเวอร์สามรถทำงานได้ 3แบบคือ
แบบOffline หรือเรียกว่า Download and Delete ซึ่งเป็นรูปแบบมาตรฐาน ทั่วไปในการใช้งานของอีเมล์อินเตอร์เน็ต ซึ่งใช้โปรโตคอล POP หรือ IMAP โดย User agent ของผู้รับจะดาวน์โหลดอีเมล์ทั้งหมดมาจากเมล์เซิร์ฟเวอร์ และลบอีเมล์เหล่านั้นออกไป (ในโปรแกรมไคลเอนต์ของอีเมล์บางโปรแกรม สามารถให้เลือกได้ว่าต้องการลบอีเมล์ที่ดาวน์โหลดมา แล้วฝังเซิร์ฟเวอร์นั้นทิ้งหรือไม่) ทำให้ผู้ใช้นั้นอ่านอีเมล์นั้นได้ตลอดเวลาโดยไม่จำเป็นติดตั้งเมล์เซิร์ฟเวอร์นั้นอีก แต่ User agent จะไม่รู้ว่าอีเมล์เข้ามาใหม่ จนกว่าจะติดเข้าไปยังเมล์เซิร์ฟเวอร์และดาวน์โหลดอีเมล์เข้ามาใหม่ แบบ Online เป็นแบบที่เมล์ด้าน User agent ของผู้รับจะติดต่อกับ เมล์เซิร์ฟเวอร์ของผู้รับเองตลอดเวลาที่ใช้อีเมล์ ซึ่งระบบที่ให้บริการอีเมล์แบบนี้จะสามารถเปิดแชร์เมล์บ็อกซ์ที่เซิร์ฟเวอร์ได้ตลอดเวลา เช่น NFS (Network File System) หรือ CIFS(Common Internet File System) เป็นต้น (ดูรายละเอียดของ NFSหรือ CIFS ในบทที่ 8 เรื่อง”การรับส่งไฟล์และระบบไฟล์” ) นอกจากนี้โปรโตคอลแบบ IMAP ยังสามารถใช้งานแบบ Onlineนี้ได้อีกด้วย ซึ่งจะกล่าวถึงรายละเอียดในภายหลัง
แบบ Disconnected เป็นแบบผสมผสานระหว่างOffline และแบบ Online โดยอาศัยเมล์เซิร์ฟเวอร์ของผู้รับเป็นที่หลักในการจัดเก็บข้อมูลของอีเมล์ และในส่วนเนื้อที่ User agent นี้จะเป็นที่เก็บอีเมล์สำรองโดยเมื่อมีการดาวน์โหลดอีเมล์มาก็จะทำงานในแบบของ Offline เพื่อลดภาระที่ต้องติดต่อกับเมล์เซิร์ฟเวอร์ตลอดเวลา แต่ข้อมูลอีเมล์จะไม่ถูกลบออกจากเมล์เซิร์ฟเวอร์ ผู้ใช้สามารถโหลดอีเมล์ที่แก้ไขแล้วกลับไปยังเมล์เซิร์ฟเวอร์ในภายหลังได้ เช่น การแก้ไขหรือตอบกลับอีเมล์ (Reply to) ที่ส่งมา เป็นต้น ซึ่งโปรโตคอลที่สามารถตอบสนองการใช้งานในแบบนี้ได้ก็คือ IMAP
สถานะขออนุมัติ (Authorization State) เมื่อเริ่มต้นติดต่อกับเซิร์ฟเวอร์จะเป็นการเข้าสู่สถานะการขออนุมัติ โดยไคลเอนต์ จะต้องแจ้งชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน (Password) เพื่อขออนุมัติจากเซิร์ฟเวอร์ก่อน โดยไคลเอนต์จะใช้คำสั่ง USER เพื่อระบุชื่อผู้ใช้ หรือคำสั่ง PASS เพื่อกำหนด Password แต่ในกรณีที่ชื่อและ Password ถูกเข้ารหัสไว้ และไม่ได้เป็นค่า ASCII ทั่วไปไคลเอนต์จะใช้คำสั่ง APOPทำงานแทน USER และPASS
สถานะรับส่งรายการ (Transaction State)หลังจากที่ได้อนุมัติจากเซิร์ฟเวอร์แล้ว ก็จะเข้าสู่สถานะที่ใช้คำสั่งในการทำงานต่างๆ
สถานะปรับปรุงข้อมูล (Update State)เมื่อ User agent เลิกใช้งานด้วยคำสั่งQUIT ของPOP3 เซิร์ฟเวอร์ก็จะเข้าสู่สถานะปรับปรุงข้อมูล เพื่อลบอีเมล์ที่ดาวน์โหลดเรียบร้อยแล้วออกไป จากนั้นก็จะเข้าสู่สถานะอนุมัติใหม่โดยอัตโนมัติ เพื่อรองรับการทำงานต่อไป การทำงานของ IMAP นี้จะเหมือนกับโปรโตคอลอื่น ๆ โดยทำงานร่วมกัน TCP ใช้พอร์ต หมายเลข 143 และจะแบ่งเป็นสถานะต่าง ๆ ออกเป็น 4 สถานะ โดยในแต่ละสถานะจะมีวัตถุประสงค์และคำสั่งที่ใช้งานแตกต่างกัน โดยมีรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้
-สถานะก่อนอนุมัติ (Non-authenticated State) เป็นสถานะที่กำลังรอให้ไคลเอนต์ติดต่อเข้ามาเพื่อขออนุมัติใช้ ดังนั้นในด้านไคลเอนต์จะต้องแจ้งชื่อ Login ของ Mail Server นั้นและ password ด้วยคำสั่ง LOGIN หรือ AUTHENTICATE ก่อนจึงจะเริ่มใช้งานได้ จาก นั้นจึงเปลี่ยนไปเป็นสถานะไดรับอนุมัติ
- สถานะได้รับการอนุมัติ (Authenticated State) เป็นสถานะที่สามารถใช้ คำสั่งต่างๆที่เกี่ยวกับการเลือกและการใช้เมล์บ็อกซ์เช่นคำสั่ง SELECT หรือเลือกเมล์บ็อกซ์หรือคำสั่ง CRETATE เพื่อสร้างเมล์บ็อกซ์เป็นต้น ในการเลือกเมล์บ็อกซ์ด้วยคำสั่ง SELECT หรือ EXAMINE นี้จะเป็นการเปลี่ยนไป เป็นสถานการณ์เลือกเมล์บ็อกซ์
- สถานะเลือกเมล์บ็อกซ์ (Selected State) เป็นสถานะที่เข้าไปใช้งานอีเมล์ ในแต่ละเมล์ บ็อกซ์ หลังจากที่เลือกเมล์บ็อกซ์ไว้แล้วในสถานะก่อนหน้านี้
- สถานะเลิกใช้งาน (Logout State) เมื่อต้องการเลิกใช้งาน หรือสิ้นสุดการทำงาน ของ IMAP จะเข้าสู่สถานะเลิกใช้งาน โดยใช้คำสั่ง LOGOUT จากสถานะทั้ง 4 ไปจำเป็นต้องทำงานเรียงต่อกันเสมอไป บางครั้งอาจมีการทำงานข้ามจากสถานะหนึ่งไปอีกสถานะหนึ่งได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อเข้าสู่สถานะที่ได้รับอนุมัติ(Authenticated State) และลบอีเมล์ที่ไม่ต้องการใช้งานทิ้งไปด้วยคำสั่ง DELETE แล้ว และไม่ต้องการทำงานอื่นๆต่อ ก็สามารถใช้คำสั่งLOGOUT เพื่อเปลี่ยนสถานะเป็นการเลิกใช้งาน (Logout State) ได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าสู่สถานการณ์เลือกเมล์บ็อกซ์ การเข้ารหัสและ MIME (RFC 1341)
ในการรับส่งอีเมล์ผ่านเครือข่ายนั้น คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่ออยู่ในเครือข่ายมักจะมีหลากหลายชนิด ดังนั้นข้อมูลที่ส่งผ่านจึงต้องเป็นข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบกลางๆ ซึ่งคอมพิวเตอร์จะรับรู้และเข้าใจได้เหมือนกัน เพื่อไม่ให้ข้อมูลที่รับหรือส่งเหล่านั้นผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง และสามารถส่งข้อมูลทั้งที่เป็นข้อความและไม่เป็นข้อความ (เช่น ข้อมูลที่เป็นรูปและเสียง ) รวมกันไปในอีเมล์ฉบับเดียวกันได้ ดั้งนั้นจึงได้นำเทคนิคการเข้ารหัสที่เรียกว่า MIME มาใช้เพื่อเข้ารหัสและถอดรหัสในการรับส่งอีเมล์โดยทั่วไป
การรักษาความปลอดภัยและการเข้ารหัสอีเมล์ การที่ต้องให้อีเมล์มีความปลอดภัยในการรับส่งข้อมูลมากขึ้น ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นลักลอบอ่านข้อความได้ และในการแปลงรหัสตามวิธีของ MIME นั้นได้มีข้อกำหนดเพิ่มเติมเรียกว่า S/MIMหรือ Secure,Vluitipurpose Internet Mail Extensions ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย RSA Data Security Inc. โดยในส่วนของระบบรักษาความปลอดภัยขึ้นจากมาตรฐานของ MIME แบบเดิม (รายละเอียดจะกล่าวถึงบทที่ 12 ) กระบวนการของ S/MIME ที่ได้เพิ่มในส่วนทำหน้าที่เข้ารหัสข้อมูล (Encryption) และการลงส่งลายเซ็นดิจิตอล (Digital Signature) เข้าไปในข้อมูลอีเมล์ การเข้ารหัสข้อมูลนั้นS/MIME จะใช้วิธีการ Public-key โดยใช้คีย์ที่มีความยาวได้สูงสุด 2,048 บิต และวิธีการเข้ารหัสข้อมูลนั้นมีทั้งวิธีของ DES (Data Encryption Standard) และ Triple DES (รายละเอียดจะกล่าวถึงในบทที่ 12) ในกรณีการเข้ารหัสของลายเซ็นดิจิตอลนั้น RSA ได้พัฒนาไลบรารีภาษา C ที่เรียกว่า TIPEM เพื่อให้ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ต่างๆ นำไปพัฒนาตามมาตรฐานของ S/MIME ในปัจจุบันถึงแม้ว่า S/MIME จะยังมากำหนดให้เป็นโปรโตคอลมาตรในการรักษาความปลอดภัยของอีเมล์ แต่ก็ถือได้รับการยอมรับเป็นมาตรฐานไปโดยปริยายเพราะมีการใช้งานมาก (De facto standard) เนื่องจากบริษัทพัฒนาซอฟแวร์ชั้นนำหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นไมโครซอฟท์ , เน็ตสเคป, โลตัส, Verisign หรือ โนเวลล์ก็ตาม ได้นำเอาโปรโตคอล S/MIME นี้ไปใช้งานแล้วNewsgroups ( NNTP : RFC 977)
นอกจากบริการอีเมล์แล้ว Newsgroups ก็เป็นอีกบริการหนึ่งที่ใกล้เคียงกับอีเมล์อย่างมากการทำงานของ Newsgroups จะเป็นเสมือนเนื้อที่สาธารณะให้ผู้สนใจในเรื่องต่างๆ ส่งความเห็นหรือภามปัญหาได้ตามหัวเรื่องที่สนใจ โดยผู้ใช้ต้องสมัคเป็นสมาชิกในหัวเรื่อง (Article) ที่สนใจนั้นเสียก่อนจากนั้นจึงสามารถอ่านหรือดูข้อความที่สมาชิกคนอื่นส่งมาได้ โดยอาจจะรับเป็นอีเมล์เข้ามาในเมล์บ็อกซ์ หรือส่งความคิดเห็นของตนเองไปได้คล้ายกันการส่งอีเมล์ ซึ่งโปรโตคอลที่ใช้ใน Newsgroups นี้เรียกว่า NNTP หรือ Network News Transfer Protocol กลไกการทำงานของ Newsgroups นั้นจะมีหัวข้อทำหน้าที่สื่อให้ผู้ใช้ทราบว่าเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องอะไร ซึ่งหัวข้อจะประกอบด้วยส่วนประกอบหลายๆส่วนเรียงต่อกันและคั่นแต่ละจุดด้วยจุด (.) โดยส่วนแรกของหัวข้อจะเป็นชื่อกลุ่มของ Newsgroups เช่น soc หมายถึงเนื้อหาที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมหรือสังคม ถ้าเป็น soc.culture.dia ก็จะเป็นหัวข้อของเนื้อหาที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมของอินเดีย เป็นต้น
การทำงานโปรโตคอล NNTP จะต่างจากอีเมล์ทั่วไปเนื่องจากอีเมล์จะแยกโปรโตคอลที่ทำหน้าที่รับและส่งออกจากกัน แต่ในเรื่องของ Newsgroups นั้น NNTP จะทำทุกหน้าที่ไปพร้อมกัน คือ

-ไคลเอนต์ส่งข้อความไปยังเซิร์ฟเวอร์
- ไคลเอนต์รับและอ่านข้อความจากเซิร์ฟเวอร์
- แลกเปลี่ยนหัวข้อกันระหว่างเซิร์ฟเวอร์

วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2551

สรุปบทที่ 8

บทที่ 8
การรับส่งไฟล์ และระบบไฟล์
การใช้งานบราวเซอร์ในปัจจุบัน ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่แสดงข้อมูลของเว็บเพจต่าง ๆ เท่านั้นยังสามารถใช้บราวเซอร์เพื่อดาวน์โหลดไฟล์จากเซิร์ฟเวอร์ต่าง ๆ มาใช้งานได้อีกด้วย
FTP (File Transfer Protocol : RFC 959)
FTP เป็นเครื่องมือในการโอนไฟล์ซึ่งเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมที่สุด โดยกำเนิดมาจากการเป็นคำสั่งพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ
ระบบเสริมอื่น ๆ ในการเรียกใช้ข้อมูลข้ามเครื่อง
ในการรับส่งไฟล์ด้วยโปรแกรมที่ใช้โปรโตคอล FTP โดยทั่ว ๆ ไปนั้นมักจะประสบปัญหาในกรณีที่เป็นไฟล์ขนาดใหญ่ ๆ และต้องหยัดการรับส่งกลางคัน เช่น สายเชื่อมต่ออินเตอร์หลุดในขณะที่รับส่งไฟล์ยังไม่เรียบร้อย ทำให้ต้องย้อนไปเริ่มติดต่อเข้าอินเตอร์เน็ตและเริ่มรับส่งไฟล์ใหม่ ตั้งแต่ต้น ถึงแม้ในปัจจุบันระบบสื่อสารและโมเด็มมีความเร็วสูงมากขึ้นก็ตาม แต่เหตุการณ์ลักษณะนี้ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงมีซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้รับข้อมูลส่วนที่ต่อจากข้อมูลเดิมที่ยังไม่ครบถ้วน
GetRight
GetRight เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำงานร่วมกับบราวเซอร์ โดยปกติเมื่อโปรแกรมบราวเซอร์จะดาวน์โหลดไฟล์ จะแสดงไดอะล็อกซ์บล็อกให้เลือกไดเร็คทอรีที่จะเก็บไฟล์หลังจากดาวน์โหลด

สรุปบทที่ 7

บทที่ 7
อีเมล์ และโปรโตคอลของอีเมล์
อีเมล์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ได้เริ่มใช้งานกันมานานแล้ว ตั้งแต่ยุคของเครื่องเมนเฟรมหรือมินิคอมพิวเตอร์ ซึ่งไอบีเอ็มได้พัฒนาระบบอีเมล์ที่เรียกว่า PROFS ออกมาใช้งาน นอกจากนี้ก็มีระบบ UNIX ต่อมาหลาย ๆ ค่ายก็ได้พัฒนาระบบอีเมล์ของตนขึ้นมา
Workflow
เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่พัฒนาขึ้นตามขั้นตอนการปฏิบัติงานขององค์กร เพื่อให้ขั้นตอนต่าง ๆ เป็นไปแบบอัตโนมัติมากขึ้น
โปรโตคอลประเภทการใช้งาน
การทำงานทั่ว ๆ ไปของอีเมล์โดยสรุปมีเพียง 2 ประเภท คือ การส่งอีเมล์ และการรับอีเมล์ โดยโปรโตคอล SMTP จะใช้ขณะที่ User agent ส่งอีเมล์มาที่ MTA (เฉพาะแบบ Offline) และใช้ขณะรับและส่งอีเมล์ระหว่าง MTA ด้วยกัน
POP3 (Post Office Protocol : RFC 1939)
สำหรับผู้ที่ใช้งานอีเมล์บนอินเตอร์เน็ตมาแล้ว คงจะคุ้นเคยกับโปรโตคอลที่เรียกว่า POP กันเป็นอย่างดี เพราะเป็นโปรโตคอลที่ทำหน้าที่โหลดอีเมล์มาจาก MTA ไปยัง User agent
SMTP (Simple Mail Transfer Protocol : REF 821)
เป็นโปรโตคอลที่คู่กับ POP3 ก็คือ SMTP เพราะเป็นโปรโตคอลที่ใช้ส่งอีเมล์จาก User agent ของผู้ส่งไปยัง MTA ของผู้ส่ง และส่งต่อไปยัง MTA เครื่องอื่น ๆ ที่เป็นจุดผ่านในการเชื่อมต่อไปยังเครื่องผู้รับ

สรุปบทที่ 6

บทที่ 6
Domain Name System (DNS)
การติดต่อส่งผ่านข้อมูลในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตนั้นสิ่งที่จะช่วยทำให้การส่งผ่านข้อมูลประสบความสำเร็จคือ การอ้างอิงระบุตำแหน่งที่ชัดเจนถูกต้องโดยอาศัยหมายเลข IP Address เป็นจุดอ้างอิง เมื่อมีจำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตมากขึ้น การใช้งานอินเตอร์เน็ตได้แพร่หลายไปในหมู่ผู้ใช้ที่ไม่ใช่นักคอมพิวเตอร์หรือนักวิชาการ หากแต่เป็นผู้ใช้ทั่วไปที่มีความรู้ด้านนี้น้อย การที่จะจดจำหมายเลข IP Address เพื่ออ้างอิงเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่จะไปเยี่ยมชมดูจำลำบาก และมักจะสับสนหลงลืมได้ง่ายผลลัพธ์ก็คือทำให้ประสิทธิภาพในการใช้งานลดลง
Domain Name System (DNS : RFC 1035)
ระบบ Domain Name System หรือ DNS นี้เป็นระบบจัดการแปลงชื่อไปเป็นหมายเลข IP Address โดยมีโครงสร้างฐานข้อมูลแบบลำดับชั้นเพื่อใช้เก็บข้อมูลที่เรียกค้นได้อย่างรวดเร็ว
Host File
ก่อนที่ระบบ DNS จะถูกพัฒนาขึ้นใช้งานนั้น เครือข่ายต่าง ๆ ที่มีเครื่องเซิร์ฟเวอร์ให้บริการอยู่ โดยที่จะเรียกเครื่องนั้นว่า host และมีการตั้ง host นั้นให้สามารถเรียกได้ง่าย

วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550

เปรียบเทียบ OSI กับ TCP/IP


โปรโตคอล TCP/IP มีการจัดกลไกการทำงานเป็นชั้นหรือ Layer เรียงต่อกันไป เหมือนกับ OSI - Reference Model ดังบทที่ 2 ที่ได้กล่าวไว้แล้ว โดยในแต่ละ Layer นั้นจะมีการทำงานเทียบได้กับ OSI - Reference Model แต่บาง Layer ของโปรโตคอล TCP/IP จะทำงานเทียบกับ OSI-Reference Model หลาย Layer ปนกัน ซึ่งในแต่ละ Layer ของ โปรโตคอล TCP/IP จะประกอบไปด้วย
1. Process Layer หรือ Application Layer (Telnet,FTP,SMTP-Email,DNS) 2. Host-To-Host Layer (TCP,UDP) 3. Internetwork Layer (IP Address,ICMP,ARP,RARP) 4. Network Interface Layer (Device Driver , Ethernet , Token ring) โดยเมื่อได้เทียบลำดับชั้น ( Layer ) กับมาตรฐานของ OSI - Reference Model แล้ว จะเป็นดังรูปที่ 1 ซึ่ง เราจะเห็นว่า บาง Layer ของ TCP/IP นั้นจะเทียบได้กับ มาตรฐาน ISO Model ได้ 2 ชั้น อย่างเช่น Layer ของ Process Layer ของโปรโตคอล TCP/IP จะเทียบได้กับ 2 Layer คือ Application Layer กับ Presentation Layer ของ OSI - Reference Model รวมกัน เป็นต้น
โครงสร้างของสถาปัตยกรรมรูปแบบ DoD - Reference Model
สามารถการแบ่งออกเป็น 4 เลเยอร์ และในแต่ละเลเยอร์ได้มีการกำหนดหน้าที่การทำงานไว้ดังต่อไปนี้
1.เลเยอร์ชั้น Process Layer จะเป็น Application Protocol เชื่อมต่อกับผู้ใช้และให้บริการต่าง ๆ โปรโตคอลหลัก ๆ ที่ทำงานและให้บริการในชั้น Process Layer นี้ก็มีอย่างเช่น FTP , Telnet , HTTP , SMTP เป็นต้น
จากรูปแสดงลำดับชั้นการทำงานของโปรโตคอล TCP/IP เทียบกับมาตรฐานของ OSI - Reference Model นั้น ในชั้นบนสุดที่เรียกว่า Process Layer ทำงาน 2 หน้าที่เทียบได้กับ Application Layer และ Presentation Layer
2. เลเยอร์ชั้น Host - To - Host Layer จะเป็น TCP หรือ UDP ที่ทำหน้าที่คล้ายกับชั้นของ Session Layer และ Transport Layer ของ OSI - Model คือควบคุมการรับส่งข้อมูล จากปลายด้านส่งถึงปลายด้านรับข้อมูล และตัดข้อมูลออกเป็นส่วนย่อยให้เหมาะสม กับเครือข่ายที่ใช้รับส่งข้อมูล รวมทั้งประกอบข้อมูลส่วนย่อย ๆ นี้เข้าด้วยกันเมื่อถึงปลายทาง
3. เลเยอร์ชั้น Internetwork Layer ได้แก่ส่วนของโปรโตคอล IP ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับชั้นของ Network Layer ของ OSI - Model คือเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับระบบเครือข่ายที่อยู่ชั้นล่างลงไป และทำหน้าที่เลือกเส้นทางการรับส่งข้อมูล ผ่านอุปกรณ์เครือข่ายต่าง ๆ จนไปถึงผู้รับข้อมูล ในชั้นนี้จะจัดการกับกลุ่มข้อมูลในลักษณะที่เรียกว่า Frame ในรูปแบบของ TCP/IP ที่เรารู้จักกันนั้นเอง
4. เลเยอร์ชั้น Network Interface Layer เป็นชั้นที่ควบคุม Hardware การรับส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่าย ซึ่งเทียบได้กับชั้น Datalink Layer กับ Physical Layer ของ OSI - Model ในชั้นนี้จะทำหน้าที่เชื่อมต่อกับ Hardware และควบคุมการรับส่งข้อมูลในระบบ Hardware ของเครือข่าย ซึ่งที่ใช้กันอยู่จะเป็นตามมาตรฐานของ IEEE เช่น IEEE 802.3 จะเป็นการเชื่อมต่อผ่าน LAN แบบ Ethernet Lan หรือ IEEE 802.5 จะเป็นการเชื่อมต่อผ่าน Lan แบบ Token Ring เป็นต้น
เราจะเห็นได้ว่าที่จริงแล้ว Protocol TCP/IP นั้น แบ่งออกเป็น 2 โปรโตคอลซ้อนกันอยู่ คือ TCP จะอยู่ในชั้นบน และ IP จะอยู่ในชั้นถัดลงมา นั้นคือ TCP/IP ไม่ได้เป็นโปรโตคอลชนิดเดียวกันทั้งหมด และไม่ได้เชื่อมติดเป็นชิ้นเดียวกันทั้งหมด TCP ก็มีมาตรฐานของเฟรมที่ใช้รับส่งข้อมูลของมันเอง และมีหน้าที่ในการรับส่งข้อมูลแตกต่างไปจาก IP ซึ่งในการรับส่งข้อมูลนั้น เฟรมของ TCP ที่อยู่ในชั้นบนทั้งหมดจะถูกผนึกอยู่ในส่วนที่เป็นข้อมูลของ IP เหมือนกับที่แต่ละชั้นของ OSI - Reference Model ผนึกข้อมูลในชั้นถัดไปนั่นเอง
ถึงแม้ว่า TCP/IP จะไม่ได้มีการแบ่งชั้นของการสื่อสารข้อมูลตรงตาม OSI - Reference Model และไม่ได้เป็นมาตรฐานเดียวกัน แต่ OSI ก็ออกแบบมาให้เปิดกว้างและเข้ากันได้ดีกับ TCP/IP โดย TCP จะเทียบได้ประมาณชั้นที่ 4 ของ OSI - Model และ IP จะเทียบได้กับประมาณชั้นที่ 3 ของ OSI - Model แม้ว่าจะไม่ลงตัวกันพอดีนัก แต่ก็สามารถเชื่อมต่อด้วยกันได้ ทำให้มาตรฐานของ OSI - Model สามารถนำ TCP/IP มาใช้งานร่วมกันได้เป็นอย่างดี

สรุปบทที่ 2-3

โปรโตคอล คือ ระเบียบวิธีที่กำหนดขึ้นสำหรับสื่อสารข้อมูล โดยสามารถส่งผ่านข้อมูลไปยังปลายทางได้อย่างถูกต้อง ในปัจจุบันโปรโตคอลในการสื่อสารข้อมูลก็มีอยู่หลายโปรโตคอล นอกเหนือจาก TCP/IP
การอ้างอิงอุปกรณ์ในเครือข่าย เป็นแนวความคิดหลักของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ คือ การเชื่อมโยงอุปกรณ์เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการ (หรือบางที่เรียกว่า Host) และอุปกรณ์ในเครือข่ายอื่น ๆเช่น Router เพื่อให้สามารถแชร์การใช้อุปกรณ์ร่วมกันได้ หรือสามารถส่งผ่านข้อมูลไปมาได้อย่างถูกต้อง
การจัดลำดับชั้นของเครือข่าย เป็นการกำหนดค่า IP Address ไม่สามารถกำหนดขึ้นได้จามใจชอบ แต่มีระเบียบวิธีการแบ่งและการกำหนดที่ชัดเจนเป็นมาตรฐาน
โครงสร้างของโปรโตคอล
โปรโตคอล TCP(REF 793) เป็นโปรโตคอลที่มีการรับส่งข้อมูลแบบ stream oriented protocol หมายความว่า การรับส่งข้อมูลจะไม่คำนึงถึงปริมาณขอมูลที่จะส่งไป แต่จะแบ่งข้อมูลเป็นส่วนย่อย ๆก่อน แล้วจึงจะส่งไปยังปลายทางอย่างต่อเนื่องเป็นลำดับข้อมูล
Internetwork Layer มีหน้าที่ส่งผ่านข้อมูลในระหว่างเครือข่าย โดยมีโปรโตคอลที่ทำงานเป็นกลไกลสำคัญในการส่งผ่านข้อมูลไปยังเครือข่ายใด ๆบนอินเตอร์เน็ต
Network Interface Layer เนื่องจากในด้ายกายภาพของเครือข่ายนั้น มีหลายวิธีการละหลายรูปแบบในการเชื่อมต่อระบบให้เป็นเครือข่าย แต่อย่างไรก็ตามในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ข้อมูลหรือ IP datagram จะถูกถ่ายทอดและส่งผ่านไปยังปลายทางโยไม่คำนึงถึงรูปแบบการเชื่อมต่อทางกายภาพ

โปรโตคอล 3 ชนิด

โปรโตคอลเลือกเส้นทาง (Routing Protocol)
เป็นโปรโตคอลเลือกเส้นทางที่มีไว้เพื่อการค้นหาและเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด เพื่อนำพาข้อมูลข่าวสารจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง บนเครือข่ายเดียวกันหรือเครือข่ายที่ต่างกัน หากเป็นการสื่อสารอยู่ในเครือข่ายเดียวกันสามารถทำได้โดยการสร้างตารางเลือกเส้นทาง (Routing Table) ขึ้นมา แต่ถ้าหากเครื่องปลายทางอยู่ต่างเครือข่าย ต้องอาศัยอุปกรณ์เชื่อมเครือข่าย อย่างเช่น เราเตอร์ ทำการค้นหาและเลือกเส้นทางเพื่อให้เข้าถึงเป้าหมายปลายทางได้ดีที่สุด
โปรโตคอลในระดับของ WAN และ Data Link Protocol
เป็นโปรโตคอลที่ดูแลเกี่ยวกับการอ้างอิงแอดเดรสภายในเครือข่าย wan รวมทั้งกรรมวิธีการจัดส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ที่อยู่ภายในเครือข่าย wan อย่างปลอดภัย มีการตรวจสอบความผิดพลาดของข้อมูล ข่าวสาร การแจ้งสถานะระหว่างจุดเชื่อมต่อหรือ Node (Node ในที่นี้อาจเป็นอุปกรณ์ Switching ที่ติดตั้งตามชุมสาย หรือศูนย์ให้บริการที่กระจัดกระจายตามสถานที่ต่าง ๆ) รวมทั้งวิธีควบคุมปริมาณของการสัญจรไปมาของข่าวสารได้อย่างเหมาะสม
โปรโตคอล SMB (Server Message Block)
เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการส่งคำร้องขออินพุต/เอาต์พุต (i/o request) ผ่านเน็ตเวิร์ค โปรโตคอล SMB มีแมสเสจ 4 ประเภท คือ แมสเสจ Session control (คำสั่งเพื่อเริ่มต้นและการจบการเชื่อมต่อเพื่อแชร์รีซอร์สที่เซิร์ฟเวอร์) แมสเสจ File (เพื่อแอ็กเซสไฟล์ที่เซิร์ฟเวอร์) แมสเสจ Printer (เพื่อส่งข้อมูลไปยังคิวการพิมพ์ที่อยู่ห่างไกล และรับข้อมูลสเตตัสกลับมา) และแมสเสจ Message (ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับเวิร์สเตชันอื่น)